การเมืองอริสโตเติล
เล่ม1
อริสโตเติลมองว่า “มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง” โดยได้ให้คำอธิบายไว้ว่า
มนุษย์จะพัฒนาความเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อมารวมตัวกันเป็นสังคม เป็นเมือง
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์
ในขณะที่สัตว์อื่น ๆ จะพัฒนาธรรมชาติที่แท้จริงของมันได้ก็ต่อเมื่อได้อาศัย
ใช้ชีวิต และเจริญเติบโตในป่า เพราะเป็นสถานที่ที่มันจะได้พัฒนา
เรียนรู้ธรรมชาติที่แท้จริงจากการกระทำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของมัน
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “สัตว์จะพัฒนาไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของมันได้ก็โดย การอาศัยป่า หรือการกระทำหรือดำเนินชีวิตในป่า” ในทำนองเดียวกัน การดำเนินชีวิต
และการเจริญเติบโตในเมืองก็ทำให้มนุษย์ได้พัฒนา
เรียนรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเองได้จากการกระทำ และกิจกรรมต่าง ๆ
ของตนในสังคมเมือง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์จะพัฒนาไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้ก็โดยการเมือง หรือการกระทำ การดำเนินชีวิตในเมือง
ดังนั้น“การเมือง”ในความหมายของอริสโตเติลจึงมีความหมายกว้างคำว่าการเมืองในความหมายของอริสโตเติลครอบคลุมถึงการการกระทำ
และกิจกรรมต่างๆที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันของมนุษย์ที่มาอยู่รวมกันเป็นสังคมและรวมถึงในขั้นตอนและกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของการพัฒนาจากครอบครัวมาสู่สังคมเมืองด้วยด้วยเงื่อนไขที่อริสโตเติลกล่าวไว้ว่ารัฐได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วในเวลาเดียวกันกับที่ครอบครัวแรกของมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเพราะรัฐเป็นการรวมกันขึ้นของส่วนต่างๆคือเป็นการรวมตัวกันของราษฎรซึ่งเข้ามามีส่วนในการทำหน้าที่ทางบริหารและตุลาการอริสโตเติลใช้ปัจจัยหลักคือ"รัฐธรรมนูญ"คือตัวกำหนดบทบาทของราษฎรรัฐธรรมนูญเป็นไปในระบอบประชาธิปไตยก็ย่อมตราไว้ให้ราษฎรส่วนใหญ่ได้ร่วมปกครองรัฐถ้าเป็นไปในระบอบคณาธิปไตยก็ย่อมตราไว้ให้ราษฎรส่วนน้อยปกครองรัฐ
เล่ม2
อุตมรัฐ (Republic)
เป็นรัฐในอุดมคติของเพลโตหมายถึงรัฐที่มีความยุติธรรมซึ่งหมายถึงการให้ทุกคนตามส่วนที่พึงได้รับโดยเพลโตเห็นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจากความกลมกลืนภายในตัวบุคคลและภายในรัฐและความกลมกลืนนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อภาวะภายนอก เป็นระเบียบ
ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้นถ้าหารัฐสามารถสนองความต้องการและแลกเปลี่ยนบริการระหว่างกันได้ก็จะเป็นรัฐที่ดีที่สุดและรัฐที่สามารถสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์ก็จะเป็นรัฐที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับเพลโต
เล่ม3
มุ่งเน้นการจำกัดความของพลเมือง รัฐ
คุณธรรมและรัฐธรรมนูญเพื่อให้สามารถพึงกระทำและพึงได้ตามความสามารถของตนซึ่งมีหน้าที่พึงกระทำและได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์อย่างยุติธรรมหรือได้ประโยชน์ตามสิ่งที่พึงได้และเสียประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ในส่วนไม่ควรได้โดยให้ชนชั้นคนทำงาน
ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดให้มีทรัพย์สินได้ เพราะคนเหล่านี้ ไม่สามารถยังชีพอยู่ได้โดยปราศจากทรัพย์สินส่วนบรรดาผู้คุ้มครองและผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินโดยเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นที่ดินโดยแบ่งที่ดินของรัฐออกเป็นส่วนเท่าๆกัน
ส่วนหนึ่งสำหรับราษฎรคนหนึ่ง และกำชับให้ใช้ที่ดินเพื่อสังคมและมีการจัดให้มีการทำงานร่วมกันการที่รัฐจะมั่นคงอยู่ได้นั้นต้องมีรัฐธรรมนูญที่ดีควบคู่ไปกับการมีพลเมืองที่ดีมีคุณธรรมและพิจารณาถึงการแบ่งรัฐออกเป็น
2 ประเภทคือ1.รัฐที่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่ 1) ราชาธิปไตยคือการปกครองอันชอบด้วยกฎหมายโดยคนๆเดียวเป็นรัฐที่ดีที่สุด2)อภิชนาธิปไตยคือการปกครองอันชอบด้วยกฎหมายโดยคนส่วนน้อยเป็นรัฐที่ดีที่สุดในลำดับสอง3)ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญคือการปกครองอันชอบด้วยกฎหมายและแบบพอดีโดยคนจำนวนมากเป็นรัฐเลวที่สุดในกระบวนรัฐที่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่ยังดีกว่ารัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทุกรัฐและ2.รัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่1) ทรราชย์ คือ การปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยคนๆเดียว
เป็นรัฐที่เลวที่สุด2)อัปชนาธิปไตยคือการปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยคนส่วนน้อยเป็นรัฐที่ต่อไปจากรัฐที่เลวที่สุด3)ประชาธิปไตย
ซึ่งไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญคือการปกครองโดยพลการและแบบรุนแรงโดยคนจำนวนมาก เป็นรัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฉะนั้นจะเป็นรัฐที่เลวแต่ยังเป็นอันตรายน้อยกว่าระบบทรราชย์หรืออัปชนาธิปไตย









