วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การเมืองอริสโตเติล

การเมืองอริสโตเติล
เล่ม1
                        อริสโตเติลมองว่า “มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง” โดยได้ให้คำอธิบายไว้ว่า มนุษย์จะพัฒนาความเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อมารวมตัวกันเป็นสังคม เป็นเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการพัฒนาธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ ในขณะที่สัตว์อื่น ๆ จะพัฒนาธรรมชาติที่แท้จริงของมันได้ก็ต่อเมื่อได้อาศัย ใช้ชีวิต และเจริญเติบโตในป่า เพราะเป็นสถานที่ที่มันจะได้พัฒนา เรียนรู้ธรรมชาติที่แท้จริงจากการกระทำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของมัน หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “สัตว์จะพัฒนาไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของมันได้ก็โดย การอาศัยป่า หรือการกระทำหรือดำเนินชีวิตในป่า” ในทำนองเดียวกัน การดำเนินชีวิต และการเจริญเติบโตในเมืองก็ทำให้มนุษย์ได้พัฒนา เรียนรู้ธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเองได้จากการกระทำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของตนในสังคมเมือง หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์จะพัฒนาไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้ก็โดยการเมือง หรือการกระทำ การดำเนินชีวิตในเมือง
           ดังนั้นการเมืองในความหมายของอริสโตเติลจึงมีความหมายกว้างคำว่าการเมืองในความหมายของอริสโตเติลครอบคลุมถึงการการกระทำ และกิจกรรมต่างๆที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันของมนุษย์ที่มาอยู่รวมกันเป็นสังคมและรวมถึงในขั้นตอนและกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของการพัฒนาจากครอบครัวมาสู่สังคมเมืองด้วยด้วยเงื่อนไขที่อริสโตเติลกล่าวไว้ว่ารัฐได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วในเวลาเดียวกันกับที่ครอบครัวแรกของมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นเพราะรัฐเป็นการรวมกันขึ้นของส่วนต่างๆคือเป็นการรวมตัวกันของราษฎรซึ่งเข้ามามีส่วนในการทำหน้าที่ทางบริหารและตุลาการอริสโตเติลใช้ปัจจัยหลักคือ"รัฐธรรมนูญ"คือตัวกำหนดบทบาทของราษฎรรัฐธรรมนูญเป็นไปในระบอบประชาธิปไตยก็ย่อมตราไว้ให้ราษฎรส่วนใหญ่ได้ร่วมปกครองรัฐถ้าเป็นไปในระบอบคณาธิปไตยก็ย่อมตราไว้ให้ราษฎรส่วนน้อยปกครองรัฐ
เล่ม2
                   อุตมรัฐ (Republic) เป็นรัฐในอุดมคติของเพลโตหมายถึงรัฐที่มีความยุติธรรมซึ่งหมายถึงการให้ทุกคนตามส่วนที่พึงได้รับโดยเพลโตเห็นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจากความกลมกลืนภายในตัวบุคคลและภายในรัฐและความกลมกลืนนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อภาวะภายนอก เป็นระเบียบ ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้นถ้าหารัฐสามารถสนองความต้องการและแลกเปลี่ยนบริการระหว่างกันได้ก็จะเป็นรัฐที่ดีที่สุดและรัฐที่สามารถสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์ก็จะเป็นรัฐที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับเพลโต
เล่ม3

           มุ่งเน้นการจำกัดความของพลเมือง รัฐ คุณธรรมและรัฐธรรมนูญเพื่อให้สามารถพึงกระทำและพึงได้ตามความสามารถของตนซึ่งมีหน้าที่พึงกระทำและได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์อย่างยุติธรรมหรือได้ประโยชน์ตามสิ่งที่พึงได้และเสียประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ในส่วนไม่ควรได้โดยให้ชนชั้นคนทำงาน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดให้มีทรัพย์สินได้ เพราะคนเหล่านี้ ไม่สามารถยังชีพอยู่ได้โดยปราศจากทรัพย์สินส่วนบรรดาผู้คุ้มครองและผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินโดยเฉพาะทรัพย์สินที่เป็นที่ดินโดยแบ่งที่ดินของรัฐออกเป็นส่วนเท่าๆกัน ส่วนหนึ่งสำหรับราษฎรคนหนึ่ง และกำชับให้ใช้ที่ดินเพื่อสังคมและมีการจัดให้มีการทำงานร่วมกันการที่รัฐจะมั่นคงอยู่ได้นั้นต้องมีรัฐธรรมนูญที่ดีควบคู่ไปกับการมีพลเมืองที่ดีมีคุณธรรมและพิจารณาถึงการแบ่งรัฐออกเป็น 2 ประเภทคือ1.รัฐที่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่ 1) ราชาธิปไตยคือการปกครองอันชอบด้วยกฎหมายโดยคนๆเดียวเป็นรัฐที่ดีที่สุด2)อภิชนาธิปไตยคือการปกครองอันชอบด้วยกฎหมายโดยคนส่วนน้อยเป็นรัฐที่ดีที่สุดในลำดับสอง3)ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญคือการปกครองอันชอบด้วยกฎหมายและแบบพอดีโดยคนจำนวนมากเป็นรัฐเลวที่สุดในกระบวนรัฐที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังดีกว่ารัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทุกรัฐและ2.รัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่1) ทรราชย์ คือ การปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยคนๆเดียว เป็นรัฐที่เลวที่สุด2)อัปชนาธิปไตยคือการปกครองอันไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยคนส่วนน้อยเป็นรัฐที่ต่อไปจากรัฐที่เลวที่สุด3)ประชาธิปไตย ซึ่งไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญคือการปกครองโดยพลการและแบบรุนแรงโดยคนจำนวนมาก เป็นรัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นจะเป็นรัฐที่เลวแต่ยังเป็นอันตรายน้อยกว่าระบบทรราชย์หรืออัปชนาธิปไตย 

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดเฟโด (PHAEDO)

แบบฝึกหัดเฟโด (PHAEDO)
คำสั่ง: ให้นักศึกษาจับคู่จากเนื้อเรื่องเฟโด (PHAEDO) ให้ถูกต้องและตอบคำถามต่อไปนี้
_____1.ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันประหารโสกราตีสและเป็นผู้ปิดตาให้โสกราตีสหลังสิ้นใจ

ก.เฟโด
____2.บุคคลที่เป็นผู้แต่งเรื่องเฟโด (PHAEDO)

ข.ไม่ได้อยู่ในวันประหารโสกราตีสเนื่องจากป่วย
____3.เพลโต

ค.เพลโต
____4.บุคคลที่เป็นคนเล่าเรื่องราววันประหารโสกราตีส

ง.เอเคกราตีส
____5.บุคคลที่เป็นผู้ซักถามเรื่องราววันประหารโสกราตีส

จ.ไครโต
 6. แนวคิดมโนคติ (Theory of Idea or Form) / “แบบ”/รูปสองรูป มีศีรษะเดียวกันเป็นแนวคิดของ.................ซึ่งได้สอดแทรกทฤษฎีของตนไปผสมกับแนวคิดทฤษฏีของโสกราตีส (ใช้ตัวเลือกข้อ1-5)
 7.ท่านจะสรุปข้อคิดใดได้บ้างจากการศึกษาเรื่องเฟโด (PHAEDO)
1.                                                                                                                                                                                                                                             
2.                                                                                                                                                                                                                                             
3.                                                                                                                                                                                                                                             
4.                                                                                                                                                                                                                                             

5.                                                                                                                                                                                                                                               

เฟโด (PHAEDO)

เฟโด (PHAEDO)
บทสนทนาเรื่องเฟโด (PHAEDO) เป็นเหตุการณ์ในวันโสกราตีสจะถูกประหารชีวิต ซึ่งในบทสนทนานี้เพลโตเขียนให้เห็นว่าตนมิได้อยู่ในเหตุการณ์เพราะป่วย โดยยกให้ตัวละครสองตัวนั่งสนทนากัน เอเคกราตีสเป็นผู้ซักถาม และให้เฟโดเป็นผู้เล่า แต่มีข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจในงานเขียนชิ้นนี้ว่า เพลโต้ได้นำทฤษฎีของตนไปผสมกับโสกราตีส โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วยมโนคติ (Theory of Idea or Form) รวมทั้งยังมีข้อความบางตอนที่เข้าใจยาก  ดังนั้นในการสรุปความส่วนนี้จึงมุ่งพยายามทำให้มองเห็นภาพในมุมกว้างว่า  โสกราตีสนั้นมีทัศนะทางปรัชญาอย่างไรเป็นสำคัญ โดยมิได้มุ่งขยายความในเชิงลึกทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเรื่องของ “แบบ” ทั้งนี้จากบทสนทนาทั้งหมดสามารถทำให้มองเห็นได้ว่า โสกราตีสได้ยึดหลักการดำรงชีวิตแบบปราชญ์ เนื่องจากเชื่อว่าวิถีชีวิตแบบนี้คือการฝึกฝนตนในการทำความดี
วันที่ประหารชีวิตนั้น เพลโตไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเพราะป่วย แต่ก่อนหน้าวันประหารนี้ศิษย์ของโสกราตีสจะมาหากันทุกวันและอยู่ด้วยกันทั้งวัน โดยในวันประหารนี้ทุกคนต้องรออยู่นานเพราะผู้บัญชาการเรือนจำสั่งให้ถอดตรวนออกจากโสกราตีส และหลังจากนั้นก็บอกให้โสกราตีสทราบว่าต้องตายในวันนี้ แล้วจึงอนุญาตให้ทุกคนเข้าเยี่ยมได้
เริ่มต้นจากเอเคกราตีสได้ถามเฟโดถึงเหตุการณ์วันประหารโสกราตีสว่าเป็นโสกราตีสซึ่งเป็นอาจารย์ได้กล่าวอะไรไว้หรือไม่ซึ่งเฟโดได้เล่าให้เอเคกราตีสเห็นภาพว่าในวันประหารชีวิตนั้นตนเองได้อยู่ในเหตุการณ์ในวันประหารด้วยซึ่งหลังจากที่สานุศิษย์สามารถเข้าไปหาโสกราตีสในคุกได้แล้ว ตัวของโสกราตีสดูมีความสุขมาก โดยเฟโดกล่าวว่า “ตัวท่านอาจารย์เองก็ดูมีความสุข ทั้งกิริยาและวาจาบ่งให้เห็นเช่นนั้น ท่านเผชิญความตายอย่างไม่กลัวและสง่า”
หลังจากนั้นโสกราตีสจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง คู่ขาเข้า แล้วใช้มือนวด พลางพูดว่า “สหาย อ้ายสิ่งซึ่งเราเรียกว่าความสุขนี่นะ แปลกอยู่เหมือนกันนะสหาย มันช่างติดพันอยู่กับสิ่งซึ่งเรียกกันอยู่ทั่วไปว่าความทุกข์ สองอย่างนี่ไม่มาหาเราพร้อมกันหรอก ถ้าเราตามหาอย่างหนึ่งจนได้อย่างนั้น แต่แล้วเราก็มักถูกบังคับ ให้ได้อีกอย่างหนึ่งด้วย ยังกับว่าสองอย่างนี้เป็นรูปสองรูป มีศีรษะเดียวกัน ข้าพเจ้าเข้าใจแน่ว่าถ้าอีสปได้นึกถึงเรื่องนี้ คงจะคิดนิทานขึ้นทำนองนี้ ว่าเทพเจ้าจะให้ทั้งสองนี้เลิกวิวาทกัน แต่เมื่อเห็นเหลือวิสัยเข้า ก็เลยเอาหัวเดียวสวมทับร่างทั้งสองนั้น ฉะนั้นเมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อีกอย่างหนึ่งก็ต้องตามมา ที่เกิดกับข้าพเจ้านั้นเป็นเช่นนี้จริงๆ เดิมขาข้าพเจ้าต้องทนทุกข์เพราะถูกจองจำ บัดนี้เกิดได้รับความสุขกลับมาแล้ว
หลังโสกราตีสพูดจบ ซีบีสจึงขัดจังหวะขึ้นถามโสกราตีสโดยอ้างว่าอีเวนัส ที่เคยถามตนเมื่อสองวันก่อนว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้โสกราตีสจึงแต่งโศลกจากนิทานอีสปและคำประณามอโปลโลในคุก ซึ่งโสกราตีสตอบว่า “...ข้าพเจ้าเขียนขึ้น เพื่อพยายามค้นหาความหมายของความฝันบางประการกับพยายามทำมโนธรรมให้แจ้งชัด บางทีศิลปะอย่างนี้คือสิ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รับคำบอกให้ฝึกฝน เรื่องเป็นอย่างนี้ ขอท่านจงทราบไว้ คือในชั่วชีวิตข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้ามักฝันซ้ำอยู่เสมอ แม้จะมีปรากฏการณ์ต่างกันต่างเวลากัน แต่ก็พูดซ้ำกันว่า โสกราตีส ฝึกฝนและก่อให้เกิดศิลปะ ที่แล้วๆ มา ข้าพเจ้าเคยคิดว่า การกระทำอันข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่อย่างแข็งขันจนเหนื่อยอ่อนนั้นแลคือการทำตามคำสั่ง ข้าพเจ้าถือเอาความฝัน ว่าเป็นดังหนึ่งคนดูที่คอยให้กำลังใจแก่นักวิ่งแข่ง เข้าใจเอาว่ามาสนับสนุน ให้ข้าพเจ้าทำในสิ่งซึ่งกำลังทำอยู่แล้ว ว่าเท่ากับฝึกฝนในเชิงศิลปะ เพราะปรัชญาก็คือศิลปะอันใหญ่ยิ่งที่สุดนั้นเอง และข้าพเจ้าก็ฝึกฝนในทางนั้นอยู่ ครั้งเมื่อเสร็จคดีที่ศาลมาแล้ว ต้องรอการประหารอยู่จนกว่าจะเสร็จเทวพิธี ข้าพเจ้านึกดูว่า ความฝันอาจแนะให้ข้าพเจ้าฝึกฝนศิลปะ อันเป็นที่นิยมกันทั่วไปก็ได้ ข้าพเจ้าจึงลองปฏิบัติตามอย่างไม่ขัดขืน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าก่อนจากโลกนี้ไป ไม่ควรให้เกิดความเคลือบแคลงใจเกิดขึ้น ด้วยเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงเพียรแต่งคำประพันธ์ตามคำแนะนำในความฝัน เพื่อให้ไม่ตะขิดตะขวงใจ ข้าพเจ้าเริ่มแต่งฉันท์สรรเสริญเทพองค์ที่มีงานฉลองอยู่ (อโปลโล) ในวันนั้นเมื่อแต่งมนตร์เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าตรองดูเห็นว่า กวีจะมีชื่อสมนามนั้น ก็ต่อเมื่อใช้จินตนาโวหาร ยิ่งกว่าบรรยายโวหาร แต่ข้าพเจ้าเองนั้นหามีจินตนาการพอที่จะปั้นเรื่องขึ้นได้ไม่
จากนั้นหลังจากนั้น โสกราตีสจึงคุยกับสิมมิอัสในเรื่องว่า อีเวนัสซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งของเขาที่บอกว่าจะฆ่าตัวตายตามโสกราตีสว่าเป็นบันฑิตหรือไม่ ซึ่งโสกราตีสไม่เชื่อเพราะอีเวนัสไม่ค่อยเชื่อฟังโสกราตีสเท่าไหร่นัก โดยเห็นว่าถ้าอีเวนัสจะฆ่าตัวตายตามโสกราตีส ตัวโสกราตีสเห็นว่าทำไม่ได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมายโดยโสกราตีสอธิบายให้ซีบีสฟังว่า “ด้วยมีหลักสิทธิอันแพร่หลายอยู่อย่างลับๆ ว่ามนุษย์คือคนคุก อันไม่มีสิทธิที่จะเปิดประตูหนีออกไป นี่เป็นเรื่องจองรหัสลัทธิอันข้าพเจ้าไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าเทพคุ้มครองป้องกันเรา และมนุษย์เราคือสมบัติของเทพโดยโสกราตีสยกตัวอย่างต่อให้เห็นว่า “ถ้าสมบัติของท่าน (ซีบีส) เป็นต้นว่าวัวหรือลา เกิดถือลัทธินำตัวออกไปจากท่าน ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่แสดงความประสงค์ให้สัตว์ตัวนั้นตาย ท่านจะไม่โกรธขึ้งสัตว์นั้นหรือ ถ้าท่านลงโทษได้ ท่านจะไม่ลงโทษมันหรือ” ซึ่งซีบีสก็ยอมรับว่า “ต้องลงโทษแน่นอน”  จากนั้นโสกราตีสจึงสรุปให้เห็นว่า “ถ้าเรามองไปในแง่นี้ ก็ย่อมเห็นเหตุผลที่ว่ามนุษย์ควรอยู่ก่อน จะคร่าชีวิตของตนก่อนเทพเรียกตัวไปหาได้ไม่ อย่างข้าพเจ้านี้ เทพกำลังเรียกตัวไปอยู่แล้ว”

ในส่วนท้ายของคำบอกเล่านั้น เพลโตพยายามสะท้อนให้เห็นตามคำบอกเล่าของเฟโดว่า โสกราตีสนั้นพร้อมต่อการดื่มยาพิษ ซึ่งก่อนหน้าจะถูกประหารนั้น โสกราตีสได้เข้าไปอาบน้ำด้วยตนเองเพราะไม่อยากให้ผู้หญิงอาบให้ และเมื่อใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน โสกราตีสจึงออกมาจากห้องน้ำ แล้วสักครู่ผู้คุมจำนวน 11 คน ก็เข้ามา ยืนข้างข้างๆ โสกราตีส ซึ่งโสกราตีสยินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้คุม เมื่อยาพิษได้รับการผสมแล้วนั้น โสกราตีสก็ดื่มมันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่สะทกสะท้าน และเมื่อดื่มยาพิษแล้วโสกราตีสก็เดินไป เดินมา จนกระทั่งถึงเวลาที่ขาไม่สามารถเดินได้  จึงไปเอนหลังตามคำสั่งผู้คุม คนที่ให้ยาพิษโสกราตีสดื่มนั้นมองดูที่ขาและที่เท้าของโสกราตีสบ่อยๆ และก็บีบเท้าอย่างหนัก และถามว่ารู้ สึกไหม แล้วจึงบีบไล่เรื่อยขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าร่างกายส่วนนั้นแข็งและเย็นชืด ซึ่งบีบจนถึงหัวใจ เมื่อร่างกายโสกราตีสเริ่มเย็นมาถึงบั้นเอว จนต้องเอาผ้าห่มมาคุม แล้วจึงพูดประโยคสุดท้ายว่า “ไครโต เราควรเอาไก่ไปเส้นแอสเคลปิอัสตัวหนึ่ง ท่านทำแทนข้าพเจ้าหน่อยได้ไหม” ทั้งนี้ไครโตจึงตอบว่าจะทำตามนั้นและถามกลับว่าอยากให้ทำอะไรอีกไหม แต่โสกราตีสก็ตาค้างเสียแล้ว ไครโตจึงปิดตาและปิดปากให้

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดไครโต



ไครโต (CRITO)

เรื่องย่อไครโต(CRITO)
                        ตามปกตินั้น พอศาลสั่งประหารชีวิต ก็ให้ดื่มน้ำเฮมลอก ฆ่าเสียในทันที แต่ในเมื่อวันก่อนโสกราตีสขึ้นศาล เข้าเขตเทศกาลอันมีพีทางศาสนาที่เอเทนต้องส่งเรือไปเดลอส เกาะอันศักดิ์สิทธิ์ในทะเลเมติเตอร์เนียน นัยว่าพิธีนี้มีขึ้นเพื่อให้ประชาชนระลึกถึงอดีต ที่กรุงเอเทนส์เป็นไท พ้นอำนาจเกาะครีตตราบใดที่เรือยังไม่กลับจากเกาะเดลอส ก็ยังประหารใครในกรุงเอเทนส์ไม่ได้ด้วยเหตุนี้โสกราตีสจึงถูกจองจำอยู่ในคุกถึงหนึ่งเดือนบรรดามิตรสหายพากันหาทางให้โสกราตีสหนีแต่โสกราตีสปฏิเสธเรื่อยมาซึ่งบทสนทนาเรื่องไครโต(CRITO)เป็นเหตุการณ์ก่อนโสกราตีสถูกสั่งประหารชีวิตโดยให้ดื่มน้ำเฮมลอก 1วันโดยไครโตได้เข้ามาพบโสกราตีสในคุกซึ่งตลอดเวลาที่โสกราตีสถูกจำคุกนาน 1เดือนนั้นมีบรรดามิตรสหารและสานุศิษย์ต่างชวนโสกราตีสหนีกันเรื่อยมาแต่เขาก็ปฏิเสธเสมอรวมทั้งในเหตุการณ์ครั้งนี้ไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทของโสกราตีสก็มาชวนหนีเช่นกันโดยส่วนตัวเขาเป็นคนร่วมวัยกับโสกราตีสและเป็นมหาเศรษฐีในกรุงเอเทนในช่วงที่ไครโตเช้ามาพบโสกราตีสนั้น โสกราตีสกำลังหลับอยู่ ซึ่งเขาก็ไม่ปลุกและนึกชมว่า โสกราตีสสามารถนอนได้อย่างมีความสุขและไม่รู้สึกกลัวตายเลย เมื่อโสกราตีสตื่นก็นึกสงสัยถามกับไครโตว่าเข้ามาในที่คุมขังนี้ได้อย่างไรไครโตจึงตอบว่า“ผู้คุมที่นี่คุ้นกับข้าพเจ้าแล้วโสกราตีสเพราะข้าพเจ้าเข้ามาบ่อยและข้าพเจ้าช่วยเหลือเขาอยู่บ้างทั้งนี้ในการมาของเขาได้เริ่มต้นในการชวนโสกราตีสหนีด้วยการแจ้งข่าวว่าเรือกำลังจะกลับมาจากเกาะเดลอส และใกล้ถึงไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ซึ่งหมายถึงการประหารชีวิตโสกราตีสจะเกิดขึ้นโดยเริ่มพูดโน้มน้าวโสกราตีสให้หนีโดยให้นึกถึงบุตรของตนเองแต่โสเครตีสตอบว่าถ้าตนหนีไปที่อื่นจะต้องพาลูกหนีไปด้วยและลูกก็จะกลายเป็นพวกเนรเทศเช่นนั้น หรือถ้าบุตรของเราได้รับการเลี้ยงดูที่เอเทนส์ จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อตนเนรเทศไปที่อื่น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาที่เอเทนส์พวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอย่างดียิ่งกว่าเมื่อตนตายไปแล้วเพราะโสเครตีสเชื่อว่ามิตรสหายจะดูแลบุตรของตนได้เมื่อตนตายไปอยู่ในปรโลก แต่ถ้าหากเขาหนีไปอยู่ที่อื่นนอกกรุงเอเทนส์ลูกของตนจะลำบากมาก
                     โดยแม้ว่าไครโตจะชักชวนโสกราตีสหนีด้วยเหตุผลต่างๆ มากมายข้างต้น แต่โสกราตีสก็ปฏิเสธตามนิสัยของเขาคือมองว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอให้หนีซึ่งคำถามต่อมาที่โสกราตีสพยายามขยายความให้ชัดขึ้นก็คือพิจารณาว่า ถ้าโสกราตีสหนีโดยไม่ได้ขออนุญาตจากรัฐ จะได้ชื่อว่าทำความผิดไหม และเป็นความผิดที่จะทำให้คนอื่นได้รับโทษทัณฑ์ไปด้วยหรือไม่ โสกราตีสจึงสมมติตัวเองเป็นกฎหมายและบ้านเมือง(รัฐ)โดยกล่าวแทนว่า“โสกราตีส บอกเราหน่อยว่าการกระทำของท่านนั้น หมายความว่ากระไร ท่านทำการเพราะไม่ยอมเคารพสถาบันแห่งนี้ใช่ไหม ท่านไม่นำพาต่อกฎหมายและจักรภพ หากสิ่งนั้นๆ ขัดขวางท่าน กระนั้นหรือ ถ้าคำตัดสินของผู้พิพากษาไม่มีผลบังคับลงโทษประชาชนพลเมือง ก็เท่ากับว่ารัฐนี้ควรตั้งอยู่ หรือควรสลายลงครั้งแรกไครโตจะไม่ยอมรับความคิดในคำพูดดังกล่าว เนื่องจากคิดว่า กฎหมายที่ผู้พิพากษาตัดสินสิ้นสุดลงไปแล้วนั้นไม่ดี เพราะรัฐทำผิดก่อน คำตัดสินไม่ยุติธรรม จึงไม่ควรยอมรับการลงโทษในครั้งนี้แต่โสเครตีสยืนยันและปฏิเสธที่จะหนีตามที่ไครโตเสนอ เพราะเขาบอกว่า เราไม่ควรจะสนองการกระทำที่ผิดด้วยการกระทำที่ผิด คือม่ควรสนองการตัดสินผิดของชาวเอเทนส์ ด้วยการแหกคุก เนื่องจากโทษของโสเครตีสเป็นมติของมหาชนชาวเอเทนส์ การหนีไปโดยที่ชาวเอเทนส์ไม่ยินยอมจึงถือเป็นการกระทำที่ผิด โสเครตีสบอกว่า แม้รัฐจะทำผิดต่อเราหรือพิจารณาคดีไม่ถูกต้อง แต่ว่ามันถือเป็นข้อตกลงที่เราให้ไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะทำตามคำตัดสินของรัฐ ขยายความได้ว่า ตนเอง (โสเครตีส) ถือกำเนิดภายใต้รัฐ จากกฎหมายของรัฐ ได้แก่ กฎหมายสมรสของบิดามารดา กฎหมายเลี้ยงดูเด็กหลังจากที่เกิดมา และกฎหมายการให้การศึกษา ดังนั้นเขาจึงเป็นเหมือนลูกหรือทาสของรัฐ ไม่ใช่บุคคลผู้เสมอหรือเท่าเทียมกับรัฐ เขาจึงไม่มีสิทธิที่จะตอบโต้รัฐ การไม่เชื่อฟังรัฐ จึงเหมือนเป็นการทำลายรัฐและชาวเอเทนส์ทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ รัฐเมื่อให้กำเนิดเขาขึ้นมาในโลกแล้ว ก็ได้เลี้ยงดูเขาให้เขาและประชาชนทั้งหลายได้รับสิ่งที่ดีทั้งปวงที่สามารถทำได้ และยังเปิดโอกาสให้คนที่ไม่พอใจกฎหมายของรัฐ มีเสรีภาพที่จะจากไปอยู่ที่อื่นก็ได้การที่ยังคงอยู่จึงแสดงให้เห็นว่าตนเองพึงพอใจต่อกฎหมายของรัฐแล้วอย่างไรก็ตามโสกราตีสยืนยันให้เห็นว่าตนเองนั้นสาบานว่าจะทำตามคำตัดสินของบ้านเมืองไว้ก่อนหน้าแล้ว พร้อมทั้งอ้างตนแทนกฎหมายบ้านเมือง และด้วยเหตุผลที่โสกราตีสที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของรัฐและอำนาจรัฐนั้น ทำให้ไครโตยอมรับว่าเป็นจริงดังที่โสกราตีกล่าวมา นอกจากนี้โสกราตีสยังขยายความต่อไปให้เห็นถึงว่าหากหนีไปนั้นจะผิดคือเมื่อท่านเห็นแล้วว่าการศาล การปกครองเราเป็นอย่างไร หาสมัครจะอยู่กับเรา (รัฐ) ถ้าขัดขืน เราถือว่าผู้นั้นผิดถึงสามสถาน คือ
                    1. ในฐานไม่นบนอบเราผู้เป็นเสมือนบิดามารดา
                    2. ในฐานที่เราเป็นผู้ปกครอง
                    3. ในฐานที่สัญญาว่าจะเชื่อฟัง
                ถ้าเห็นว่าเราทำผิดจะไม่ทำตามเราต้องแนะให้เราอนุญาตหาไม่ก็ต้องทำตามเสมอไป นอกจากนี้เรายังมิได้ปกครองแบบคนกลุ่มน้อย เราเพียงขอให้ทำตามหรือมิเช่นนั้น ก็เลือกได้ว่าจะทำตาม หรือจะขอร้องให้เราผ่อนผันให้ จะไม่เอาเลยสักอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นไม่ได้ซึ่งที่โสกราตีสกล่าวมาข้างต้นนั้นตัวของไครโตเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ซึ่งรวมถึงเหตุผลอื่นๆ อีกมากมายที่โสกราตีสยกมากล่าวจนในท้ายสุดไครโตต้องยอมจำนนต่อความคิดของโสกราตีส

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

แบบฝึกหัดท้ายเรื่องอโปโลเกียตอนที่ 2

                                                                                  ซื่อ...............................................................
                                                                                  เลขที่...........................รุ่น......................

แบบฝึกหัดท้ายเรื่องอโปโลเกียตอนที่ 2
คำสั่ง: ให้นักศึกษาโยงคำสนทนาถามตอบระหว่างโสกราตีสและเมเลตัส

โสกราตีส

เมเลตัส
1.ท่านที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้ถามท่านเช่นนั้น ข้าพเจ้าให้ท่านบ่งชื่อ บุคคล ซึ่งมีกิจที่ต้องรู้กฎหมายเป็นประเดิม


ก.ไม่มีแน่
2.ท่านหมายความว่าคนพวกนี้สามารถสั่งสอนคนหนุ่มให้ดีขึ้นได้ กระนั้นหรือ

ข.ตั้งใจ แน่นอน
3.บอกข้าพเจ้าสิสหาย ว่าใครเป็นคนทำให้เด็กเป็นคนดี

ค.ใช่อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย
4.ท่านหมายความตลอดทุกคนในคณะผู้พิพากษาหรือว่าบางคน

ง.หมดเลย
5.สมาชิกในรัฐสภานั้นก็ย่อมไม่ทำให้เด็กเสีย หากทุกคนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้นด้วยใช่ไหม

จ.ก็บุคคลเหล่านี้นะสิ           โสกราตีส คนที่มารวมอยู่เพื่อตัดสินคดีนี้แหละ
6.วุฒิสมาชิกล่ะ

ฉ.แน่นอน
7.เมเลตัส สมาชิกในรัฐสภานั้นก็ย่อมไม่ทำให้เด็กเสีย หากทุกคนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้นด้วยใช่ไห้

ช.กฎหมาย
8.มีใครไหมที่ชอบรัดความเสียหายยิ่งกว่าความช่วยเหลือ

ซ.พวกนี้ด้วย
9. ถ้าเช่นนั้นก็ดูเหมือนประชาชนชาวเอเทนทุกคน ล้วนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้น ยกเว้นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เด็กเสีย ท่านหมายความเช่นนี้ใช่ไหม


ช.ใช่แน่
10.แต่เรารู้อยู่ว่าท่านฟ้องข้าพเจ้าฐานทำให้เด็กเสีย ท่านว่าข้าพเจ้าทำโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ



ญ.ใช่แน่