วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เฟโด (PHAEDO)

เฟโด (PHAEDO)
บทสนทนาเรื่องเฟโด (PHAEDO) เป็นเหตุการณ์ในวันโสกราตีสจะถูกประหารชีวิต ซึ่งในบทสนทนานี้เพลโตเขียนให้เห็นว่าตนมิได้อยู่ในเหตุการณ์เพราะป่วย โดยยกให้ตัวละครสองตัวนั่งสนทนากัน เอเคกราตีสเป็นผู้ซักถาม และให้เฟโดเป็นผู้เล่า แต่มีข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจในงานเขียนชิ้นนี้ว่า เพลโต้ได้นำทฤษฎีของตนไปผสมกับโสกราตีส โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วยมโนคติ (Theory of Idea or Form) รวมทั้งยังมีข้อความบางตอนที่เข้าใจยาก  ดังนั้นในการสรุปความส่วนนี้จึงมุ่งพยายามทำให้มองเห็นภาพในมุมกว้างว่า  โสกราตีสนั้นมีทัศนะทางปรัชญาอย่างไรเป็นสำคัญ โดยมิได้มุ่งขยายความในเชิงลึกทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเรื่องของ “แบบ” ทั้งนี้จากบทสนทนาทั้งหมดสามารถทำให้มองเห็นได้ว่า โสกราตีสได้ยึดหลักการดำรงชีวิตแบบปราชญ์ เนื่องจากเชื่อว่าวิถีชีวิตแบบนี้คือการฝึกฝนตนในการทำความดี
วันที่ประหารชีวิตนั้น เพลโตไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเพราะป่วย แต่ก่อนหน้าวันประหารนี้ศิษย์ของโสกราตีสจะมาหากันทุกวันและอยู่ด้วยกันทั้งวัน โดยในวันประหารนี้ทุกคนต้องรออยู่นานเพราะผู้บัญชาการเรือนจำสั่งให้ถอดตรวนออกจากโสกราตีส และหลังจากนั้นก็บอกให้โสกราตีสทราบว่าต้องตายในวันนี้ แล้วจึงอนุญาตให้ทุกคนเข้าเยี่ยมได้
เริ่มต้นจากเอเคกราตีสได้ถามเฟโดถึงเหตุการณ์วันประหารโสกราตีสว่าเป็นโสกราตีสซึ่งเป็นอาจารย์ได้กล่าวอะไรไว้หรือไม่ซึ่งเฟโดได้เล่าให้เอเคกราตีสเห็นภาพว่าในวันประหารชีวิตนั้นตนเองได้อยู่ในเหตุการณ์ในวันประหารด้วยซึ่งหลังจากที่สานุศิษย์สามารถเข้าไปหาโสกราตีสในคุกได้แล้ว ตัวของโสกราตีสดูมีความสุขมาก โดยเฟโดกล่าวว่า “ตัวท่านอาจารย์เองก็ดูมีความสุข ทั้งกิริยาและวาจาบ่งให้เห็นเช่นนั้น ท่านเผชิญความตายอย่างไม่กลัวและสง่า”
หลังจากนั้นโสกราตีสจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง คู่ขาเข้า แล้วใช้มือนวด พลางพูดว่า “สหาย อ้ายสิ่งซึ่งเราเรียกว่าความสุขนี่นะ แปลกอยู่เหมือนกันนะสหาย มันช่างติดพันอยู่กับสิ่งซึ่งเรียกกันอยู่ทั่วไปว่าความทุกข์ สองอย่างนี่ไม่มาหาเราพร้อมกันหรอก ถ้าเราตามหาอย่างหนึ่งจนได้อย่างนั้น แต่แล้วเราก็มักถูกบังคับ ให้ได้อีกอย่างหนึ่งด้วย ยังกับว่าสองอย่างนี้เป็นรูปสองรูป มีศีรษะเดียวกัน ข้าพเจ้าเข้าใจแน่ว่าถ้าอีสปได้นึกถึงเรื่องนี้ คงจะคิดนิทานขึ้นทำนองนี้ ว่าเทพเจ้าจะให้ทั้งสองนี้เลิกวิวาทกัน แต่เมื่อเห็นเหลือวิสัยเข้า ก็เลยเอาหัวเดียวสวมทับร่างทั้งสองนั้น ฉะนั้นเมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อีกอย่างหนึ่งก็ต้องตามมา ที่เกิดกับข้าพเจ้านั้นเป็นเช่นนี้จริงๆ เดิมขาข้าพเจ้าต้องทนทุกข์เพราะถูกจองจำ บัดนี้เกิดได้รับความสุขกลับมาแล้ว
หลังโสกราตีสพูดจบ ซีบีสจึงขัดจังหวะขึ้นถามโสกราตีสโดยอ้างว่าอีเวนัส ที่เคยถามตนเมื่อสองวันก่อนว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้โสกราตีสจึงแต่งโศลกจากนิทานอีสปและคำประณามอโปลโลในคุก ซึ่งโสกราตีสตอบว่า “...ข้าพเจ้าเขียนขึ้น เพื่อพยายามค้นหาความหมายของความฝันบางประการกับพยายามทำมโนธรรมให้แจ้งชัด บางทีศิลปะอย่างนี้คือสิ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รับคำบอกให้ฝึกฝน เรื่องเป็นอย่างนี้ ขอท่านจงทราบไว้ คือในชั่วชีวิตข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้ามักฝันซ้ำอยู่เสมอ แม้จะมีปรากฏการณ์ต่างกันต่างเวลากัน แต่ก็พูดซ้ำกันว่า โสกราตีส ฝึกฝนและก่อให้เกิดศิลปะ ที่แล้วๆ มา ข้าพเจ้าเคยคิดว่า การกระทำอันข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่อย่างแข็งขันจนเหนื่อยอ่อนนั้นแลคือการทำตามคำสั่ง ข้าพเจ้าถือเอาความฝัน ว่าเป็นดังหนึ่งคนดูที่คอยให้กำลังใจแก่นักวิ่งแข่ง เข้าใจเอาว่ามาสนับสนุน ให้ข้าพเจ้าทำในสิ่งซึ่งกำลังทำอยู่แล้ว ว่าเท่ากับฝึกฝนในเชิงศิลปะ เพราะปรัชญาก็คือศิลปะอันใหญ่ยิ่งที่สุดนั้นเอง และข้าพเจ้าก็ฝึกฝนในทางนั้นอยู่ ครั้งเมื่อเสร็จคดีที่ศาลมาแล้ว ต้องรอการประหารอยู่จนกว่าจะเสร็จเทวพิธี ข้าพเจ้านึกดูว่า ความฝันอาจแนะให้ข้าพเจ้าฝึกฝนศิลปะ อันเป็นที่นิยมกันทั่วไปก็ได้ ข้าพเจ้าจึงลองปฏิบัติตามอย่างไม่ขัดขืน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าก่อนจากโลกนี้ไป ไม่ควรให้เกิดความเคลือบแคลงใจเกิดขึ้น ด้วยเหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าจึงเพียรแต่งคำประพันธ์ตามคำแนะนำในความฝัน เพื่อให้ไม่ตะขิดตะขวงใจ ข้าพเจ้าเริ่มแต่งฉันท์สรรเสริญเทพองค์ที่มีงานฉลองอยู่ (อโปลโล) ในวันนั้นเมื่อแต่งมนตร์เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าตรองดูเห็นว่า กวีจะมีชื่อสมนามนั้น ก็ต่อเมื่อใช้จินตนาโวหาร ยิ่งกว่าบรรยายโวหาร แต่ข้าพเจ้าเองนั้นหามีจินตนาการพอที่จะปั้นเรื่องขึ้นได้ไม่
จากนั้นหลังจากนั้น โสกราตีสจึงคุยกับสิมมิอัสในเรื่องว่า อีเวนัสซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งของเขาที่บอกว่าจะฆ่าตัวตายตามโสกราตีสว่าเป็นบันฑิตหรือไม่ ซึ่งโสกราตีสไม่เชื่อเพราะอีเวนัสไม่ค่อยเชื่อฟังโสกราตีสเท่าไหร่นัก โดยเห็นว่าถ้าอีเวนัสจะฆ่าตัวตายตามโสกราตีส ตัวโสกราตีสเห็นว่าทำไม่ได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมายโดยโสกราตีสอธิบายให้ซีบีสฟังว่า “ด้วยมีหลักสิทธิอันแพร่หลายอยู่อย่างลับๆ ว่ามนุษย์คือคนคุก อันไม่มีสิทธิที่จะเปิดประตูหนีออกไป นี่เป็นเรื่องจองรหัสลัทธิอันข้าพเจ้าไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าเทพคุ้มครองป้องกันเรา และมนุษย์เราคือสมบัติของเทพโดยโสกราตีสยกตัวอย่างต่อให้เห็นว่า “ถ้าสมบัติของท่าน (ซีบีส) เป็นต้นว่าวัวหรือลา เกิดถือลัทธินำตัวออกไปจากท่าน ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่แสดงความประสงค์ให้สัตว์ตัวนั้นตาย ท่านจะไม่โกรธขึ้งสัตว์นั้นหรือ ถ้าท่านลงโทษได้ ท่านจะไม่ลงโทษมันหรือ” ซึ่งซีบีสก็ยอมรับว่า “ต้องลงโทษแน่นอน”  จากนั้นโสกราตีสจึงสรุปให้เห็นว่า “ถ้าเรามองไปในแง่นี้ ก็ย่อมเห็นเหตุผลที่ว่ามนุษย์ควรอยู่ก่อน จะคร่าชีวิตของตนก่อนเทพเรียกตัวไปหาได้ไม่ อย่างข้าพเจ้านี้ เทพกำลังเรียกตัวไปอยู่แล้ว”

ในส่วนท้ายของคำบอกเล่านั้น เพลโตพยายามสะท้อนให้เห็นตามคำบอกเล่าของเฟโดว่า โสกราตีสนั้นพร้อมต่อการดื่มยาพิษ ซึ่งก่อนหน้าจะถูกประหารนั้น โสกราตีสได้เข้าไปอาบน้ำด้วยตนเองเพราะไม่อยากให้ผู้หญิงอาบให้ และเมื่อใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน โสกราตีสจึงออกมาจากห้องน้ำ แล้วสักครู่ผู้คุมจำนวน 11 คน ก็เข้ามา ยืนข้างข้างๆ โสกราตีส ซึ่งโสกราตีสยินดีที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้คุม เมื่อยาพิษได้รับการผสมแล้วนั้น โสกราตีสก็ดื่มมันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่สะทกสะท้าน และเมื่อดื่มยาพิษแล้วโสกราตีสก็เดินไป เดินมา จนกระทั่งถึงเวลาที่ขาไม่สามารถเดินได้  จึงไปเอนหลังตามคำสั่งผู้คุม คนที่ให้ยาพิษโสกราตีสดื่มนั้นมองดูที่ขาและที่เท้าของโสกราตีสบ่อยๆ และก็บีบเท้าอย่างหนัก และถามว่ารู้ สึกไหม แล้วจึงบีบไล่เรื่อยขึ้นมา แสดงให้เห็นว่าร่างกายส่วนนั้นแข็งและเย็นชืด ซึ่งบีบจนถึงหัวใจ เมื่อร่างกายโสกราตีสเริ่มเย็นมาถึงบั้นเอว จนต้องเอาผ้าห่มมาคุม แล้วจึงพูดประโยคสุดท้ายว่า “ไครโต เราควรเอาไก่ไปเส้นแอสเคลปิอัสตัวหนึ่ง ท่านทำแทนข้าพเจ้าหน่อยได้ไหม” ทั้งนี้ไครโตจึงตอบว่าจะทำตามนั้นและถามกลับว่าอยากให้ทำอะไรอีกไหม แต่โสกราตีสก็ตาค้างเสียแล้ว ไครโตจึงปิดตาและปิดปากให้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น