วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558
แบบฝึกหัดท้ายเรื่องอโปโลเกียตอนที่ 2
เลขที่...........................รุ่น......................
แบบฝึกหัดท้ายเรื่องอโปโลเกียตอนที่ 2
คำสั่ง: ให้นักศึกษาโยงคำสนทนาถามตอบระหว่างโสกราตีสและเมเลตัส
|
โสกราตีส
|
|
เมเลตัส
|
|
1.ท่านที่รัก
ข้าพเจ้าไม่ได้ถามท่านเช่นนั้น ข้าพเจ้าให้ท่านบ่งชื่อ บุคคล
ซึ่งมีกิจที่ต้องรู้กฎหมายเป็นประเดิม”
|
|
ก.ไม่มีแน่
|
|
2.ท่านหมายความว่าคนพวกนี้สามารถสั่งสอนคนหนุ่มให้ดีขึ้นได้
กระนั้นหรือ
|
|
ข.ตั้งใจ
แน่นอน
|
|
3.บอกข้าพเจ้าสิสหาย
ว่าใครเป็นคนทำให้เด็กเป็นคนดี
|
|
ค.ใช่อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย
|
|
4.ท่านหมายความตลอดทุกคนในคณะผู้พิพากษาหรือว่าบางคน
|
|
ง.หมดเลย
|
|
5.สมาชิกในรัฐสภานั้นก็ย่อมไม่ทำให้เด็กเสีย
หากทุกคนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้นด้วยใช่ไหม
|
|
จ.ก็บุคคลเหล่านี้นะสิ โสกราตีส
คนที่มารวมอยู่เพื่อตัดสินคดีนี้แหละ
|
|
6.วุฒิสมาชิกล่ะ
|
|
ฉ.แน่นอน
|
|
7.เมเลตัส
สมาชิกในรัฐสภานั้นก็ย่อมไม่ทำให้เด็กเสีย หากทุกคนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้นด้วยใช่ไห้
|
|
ช.กฎหมาย
|
|
8.มีใครไหมที่ชอบรัดความเสียหายยิ่งกว่าความช่วยเหลือ
|
|
ซ.พวกนี้ด้วย
|
|
9. ถ้าเช่นนั้นก็ดูเหมือนประชาชนชาวเอเทนทุกคน
ล้วนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้น ยกเว้นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เด็กเสีย
ท่านหมายความเช่นนี้ใช่ไหม
|
|
ช.ใช่แน่
|
|
10.แต่เรารู้อยู่ว่าท่านฟ้องข้าพเจ้าฐานทำให้เด็กเสีย
ท่านว่าข้าพเจ้าทำโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ
|
|
ญ.ใช่แน่
|
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558
อโปโลเกีย (APOLOGIA)ตอนที่ 3
คำถามที่โสกราตีสใช้ถามเมเลตัสเพื่อแก้คดีในศาล
1. มีใครไหม
เมเลตัส ที่เชื่อว่ามีของเกี่ยวกับมนุษย์แต่ไม่มีมนุษย์
2 มีใครไหมที่ไม่เชื่อว่ามีม้า
แต่เชื่อว่ามีของเกี่ยวกับม้า
3. หรือไม่เชื่อว่ามีปี่
แต่มีคนเป่าปี่
4 มีใครที่เชื่อเทวานุภาพ
แต่ไม่เชื่อว่าเทพมี
ซึ่งคำถาม4ข้อนี้ทำให้เมเลตัสเผลอยอมรับในศาลว่าโสกราตีสเชื่อเทวานุภาพ
และก็สอนคนอื่นในเรื่องนี้ และความเชื่อของโสกราตีสข้อนี้ได้รับการยืนยันในคำฟ้องอันท่านสาบาลต่อศาลแล้วว่าโสกราตีสเชื่อในเทวานุภาพ
ซึ่งก็ย่อมเชื่อว่าเทพมีเช่นกัน
หลังที่โสกราตีสกล่าวแก้คดีจบ
คณะลูกขุนก็มีการออกเสียงพิจารณาคดี
ซึ่งผลก็ปรากฏตามที่คะแนนเสียงมีความก้ำกึ่งกันมากดังคำที่โสกราตีส
กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเสียใจที่ท่านออกเสียงลงคะแนนว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ผิดในเรื่องนี้
ข้าพเจ้ามีเหตุผลหลายประการ เพราะใช่ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้คาดมาล่วงหน้า
แท้ที่จริงข้าพเจ้าออกจะแปลกใจเสียซ้ำที่คะแนนเกือบจะก้ำกึ่งทั้งสองฝ่าย
ข้าพเจ้าไม่นึกว่าคะแนนจะใกล้เคียงกันถึงเพียงนี้
นึกว่าฝ่ายโจทก์จะได้คะแนนมากมายนัก แต่นี่ถ้าอีกสามสิบเสียงมาทางนี้
ข้าพเจ้าก็จะชนะความ ลำพังเมเลตัสคนเดียวแล้ว
ทุกคนเห็นได้ชัดว่าข้าพเจ้าย่อมชนะแน่ ไม่แต่จะชนะ หากยังจะปรับเมเลตัสได้อีกพันเหรียญ
เพราะโจทย์จะไมได้คะแนนถึง 1 ใน 5
การพิพากษาของศาลคือโสกราตีสมีความผิดแต่ศาลจะไม่ลงโทษแต่เมเลตัสคัดค้านศาลจึงตัดสินให้ประหารชีวิตโสกราตีสเมื่อมีการพิพากษาลงโทษแล้ว
โสกราตีสก็พร้อมยอมรับคำตัดสินประหารชีวิตตนเอง
แต่ก็กล่าวไว้อย่างคมคายถึงวิธีคิดตัดสินใจของผู้ลงมติให้ประหารชีวิตไว้ว่า ตัวโสกราตีสไม่ได้ถูกลงโทษเพราะแก้คดีอย่างปราศจากเหตุผล
หากแก้คดีอย่างมีความกล้า อย่างมีความละอายใจ
อย่างไม่พร้อมที่จะพูดถ้อยคำชนิดที่ทำให้ท่านชอบใจ
ไม่ร่ำร้องวิงวอนเกี่ยวกับฐานะแห่งตน หรือพูดจาและทำท่าทาง อันไม่อยู่ในวิสัย
อันข้าพเจ้าจะทำได้ แต่ข้าพเจ้าก็รู้ว่าพวกท่านเคยชินกับการกระทำเช่นนี้
ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นการถูก ที่จะประพฤติตนดังหนึ่งมิใช่คน อันเกิดมาเป็นไทแก่ตน
และข้าพเจ้าก็ไม่ยอมแสดงความเสียใจต่อวิธีการ อันข้าพเจ้าแก้คดีมานั้น
ข้าพเจ้าพอใจตาย หลังจากที่ได้แก้คดีด้วยวิธีการของข้าพเจ้านั้น ยิ่งกว่าจะมีชีวิตอยู่ด้วยกระทำการต่างๆ
อันเป็นที่พอใจของท่าน
ช่วงท้ายของการกล่าวแก้คดีความ โสกราตีสจะกล่าวอ้างว่าตนเองไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปรโลกหรือชีวิตหลังความตายมากมายนัก
แต่ก็กล่าวไว้ในช่วงนี้อย่างน่าสนใจว่า “ความตายดีอย่างไร
ความตายต้องเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสองสิ่งนี้คือ (1) ถ้าไม่เป็นสภาวะอันปราศจากความนึกคิดเลย ก็ต้อง (2) เป็นการแปรสภาพของจิตจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ถ้าปราศจากความนึกคิดเลย
ก็เหมือนกับการนอนหลับชนิดที่ผู้หลับไม่ฝันอะไรเลย
ข้าพเจ้าเห็นว่าความตายในสภาวะนี้ดีวิเศษแน่
ข้าพเจ้าเชื่อว่าใครก็ตามเมื่อยามนอนหลับสนิทจนไม่ฝัน เมื่อเทียบกับวันคืนอื่นๆ
ตลอดทั้งชีวิต
คืนนั้นคืนเดียวก็จะมีความสุขยิ่งกว่าเป็นไหนๆ...ถ้าความตายเป็นสภาวะเช่นนี้
ข้าพเจ้าย่อมถือว่าความตายเป็นผลได้ของชีวิต เพราะเวลาอื่นๆ
จะสำคัญเท่าคืนเดียวนั้นก็หาไม่ ท่านตุลาการ
หากความตายเป็นการแปรสภาพไปสู่อีกโลกหนึ่งดังที่เขาพูดกันว่าความตายไปรวมอยู่ที่นั่น
ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ก็ย่อมนับว่าเป็นมหันตคุณ เพราะการไปสู่เรือนแห่งมัจจุราช
มนุษย์ย่อมจะได้พบตุลาการที่แท้จริง ยิ่งกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าตุลาการ
เพราะอย่างน้อย ก็เชื่อกันว่าตุลาการในปรโลกตัดสินด้
อโปโลเกีย (APOLOGIA) ตอนที่ 2
โสรกราตีสแก้ข้อกล่าวหา
โสกราตีสใช้วิธีการสอบถามกับโจทก์ซึ่งก็คือเมเลตัส เหมือนกับที่เคยๆ ทำมาในอดีต
แล้วจึงสร้างชุดข้อสรุปเป็นระยะๆ โดยมีการเปรียบเปรยเชิงประชดประชัน (Irony) แล้วสร้างข้อสรุปตามวิธีการแบบอุปนัย (Induction)
ดังเช่นในบทสนทนาส่วนหนึ่ง กล่าวว่า
โสกราตีส : ท่านว่าท่านค้นพบอิทธิพลอันทำให้เด็กเสีย
อิทธิพลเหล่านั้นอยู่ที่ข้าพเจ้านี่ และท่านก็ขอให้สุภาพชนนี้พิจารณาโทษข้าพเจ้า
ขอให้ท่านจงบอกเขาเหล่านี้ว่าใครเล่าที่ทำให้เด็กของเราดีขึ้นเมเลตัส
ท่านไม่กระดิกลิ้นเสียแล้วหรือ จึงไม่ตอบ ท่านไม่รู้ดอกหรือว่าการกระทำเช่นนี้
มีผลเสียต่อท่านอย่างพอเพียง ที่จะพิสูจน์คำของข้าพเจ้าว่าท่านไม่สนใจเรื่องนี้เลย
บอกข้าพเจ้าสิสหาย ว่าใครเป็นคนทำให้เด็กเป็นคนดี
เมเลตัส: กฎหมาย”
โสกราตีส :ท่านที่รัก
ข้าพเจ้าไม่ได้ถามท่านเช่นนั้น ข้าพเจ้าให้ท่านบ่งชื่อ บุคคล
ซึ่งมีกิจที่ต้องรู้กฎหมายเป็นประเดิม”
เมเลตัส: ก็บุคคลเหล่านี้นะสิโสกราตีส
คนที่มารวมอยู่เพื่อตัดสินคดีนี้แหละ
โสกรตีส : ท่านหมายความว่าคนพวกนี้สามารถสั่งสอนคนหนุ่มให้ดีขึ้นได้
กระนั้นหรือ
เมเลตัส: แน่นอน”
โสกราตีส : ท่านหมายความตลอดทุกคนในคณะผู้พิพากษาหรือว่าบางคน
เมเลตัส: “หมดเลย”
โสกราตีส : “วิเศษ
ช่างหาผู้ชูชุบอุปถัมภ์ได้มากจริง
คนที่มาฟังคดีที่ศาลนี่ละจะมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้นด้วยหรือเปล่า”
เมเลตัส: “มี”
โสกราตีส : “วุฒิสมาชิกล่ะ”
เมเลตัส: “พวกนี้ด้วย”
โสกราตีส :“ เมเลตัส
สมาชิกในรัฐสภานั้นก็ย่อมไม่ทำให้เด็กเสีย หากทุกคนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้นด้วยใช่ไหม
เมเลตัส: ใช่แน่”
โสกราตีส : ถ้าเช่นนั้นก็ดูเหมือนประชาชนชาวเอเทนทุกคน
ล้วนมีอิทธิพลทำให้เด็กดีขึ้น ยกเว้นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เด็กเสีย
ท่านหมายความเช่นนี้ใช่ไหม”
เมเลตัส: ใช่อย่างแน่นอน
ไม่ต้องสงสัยเลย
โสกราตีส : นี้นับว่าท่านเห็นคุณลักษณะข้อเสื่อมอย่างยิ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าเป็นอันมาก
เอาเถิด ขอให้ข้าพเจ้าได้ถามท่านอีกข้อหนึ่ง เอาม้าเป็นตัวอย่าง
คนที่ฝึกม้าให้ดีจะต้องเป็นมนุษยชาติทั้งหมด ส่วนคนที่ทำให้เสียคือคนๆ เดียว
กระนั้นหรือ หรือกลับตรงกันข้าม ว่าจำเพาะคนๆ เดียว หรือน้อยคนมากที่เข้าใจม้า
คนอื่นๆ ส่วนมาก ถึงจะใช้ม้าก็ไม่ปรานีปราศรัย ม้าและสัตว์อื่นๆ
ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือเมเลตัส ความจริงย่อมเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าท่านและอนิตัสจะรับเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม
ย่อมจะเป็นการดีที่คนหนุ่มของเราจะมีคนทำให้เสียแต่เพียงคนเดียว คนอื่นๆ
นอกนั้นล้วนช่วยให้ดี
แต่เมเลตัสท่านแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าท่านยังไม่ได้พิจารณาคนหนุ่มของเราเลย
ท่านแสดงออกอย่างแจ่มแจ้ง ว่าท่านไม่สนใจ ท่านยังไม่ได้คิดเลย แม้แต่น้อยว่า
ทำไมท่านจึงเอาข้าพเจ้ามาที่นี่
โสกราตีส :
ข้าพเจ้าขอให้ท่านบอกข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ว่าอยู่ในเมืองชั่วกับเมืองดี ที่ไหนดีกว่า
ตอบเราหน่อย สหาย ไม่ใช่ปัญหาที่ยากเย็นอะไร คนชั่วย่อมทำความชั่วในเขตแขวงใกล้ๆ
และคนดีทำดีมิใช่หรือ”
เมเลตัส :ใช่
แน่ละ
โสกราตีส มีใครไหมที่ชอบรัดความเสียหายยิ่งกว่าความช่วยเหลือ
เมเลตัส:ไม่มีแน่
โสกราตีส : แต่เรารู้อยู่ว่าท่านฟ้องข้าพเจ้าฐานทำให้เด็กเสีย
ท่านว่าข้าพเจ้าทำโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ”
เมเลตัส: ตั้งใจ
แน่นอน
โสกราตีส : จริงแท้เช่นนั้นหรือเมเลตัส
คนอายุขนาดท่านฉลาดกว่าคนอายุปูนข้าพเจ้ามากนักเจียวหรือ
จนท่านรู้ว่าคนชั่วย่อมทำความชั่ว คนดีย่อมทำความดี ให้แก่คนใกล้เคียง
แต่ข้าพเจ้าจมลงไปในเหวลึกของความชั่วจนโง่เขลา ขนาดไม่รู้ว่า
ถ้าทำให้เพื่อนร่วมชาติคนหนึ่งชั่ว ข้าพเจ้าย่อมรับความเสียหายจากเขาคนนั้น
แต่ท่านก็เห็นว่าข้าพเจ้าตั้งใจทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อท่านหรอกเมเลตัส
และข้าพเจ้าก็คิดว่าไม่มีใครเชื่อท่าน ข้าพเจ้าต้องไม่ได้ทำให้เด็กเสียเลย
ถ้าทำก็โดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นอันว่าท่านผิดทั้งสองกระทง
หากข้าพเจ้าทำโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่านก็ย่อมทำผิดกฎหมาย
ที่เอาข้าพเจ้าเกี่ยวพันในศาลอย่างผิดๆ เช่นนี้
จากข้างต้นถือเป็นตัวอย่างที่สะท้อนว่า
โสกราตีสใช้การเปรียบเปรยมาเป็นเครื่องมือในการแก้ข้อกล่าวหา พร้อมๆ
กับดึงคู่สนทนาให้กลายเป็นผู้กล่าวแก้คดีให้โดยมิรู้ตัวหรือในอีกช่วงหนึ่งของการสนทนาก็เช่นเดียวกันในการแก้ข้อกล่าวหาว่า
โสกราตีสสอนให้คนหนุ่มไม่นับถือเทพองค์ที่รัฐนั้นยอมรับว่าศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งถือว่าโสกราตีสนั้นทำลายเด็กหนุ่มเหล่านี้
อโปโลเกีย (APOLOGIA) ตอนที่ 1
อโปโลเกีย (APOLOGIA)
บทสนทนาเรื่องอโปโลเกีย
(APOLOGIA) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันเดียวกับเรื่องยูไทโฟร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โสกราตีสได้ขึ้นศาลกรุงเอเธนส์
ทั้งนี้ในกระบวนการพิจารณาคดีที่กรุงเอเธนส์สมัยนั้น คือ
คู่คดีต่างต้องกล่าวหาหรือกล่าวแก้คดีด้วยตนเอง ไม่มีทนายว่าความต่างตัว
โดยโจทก์พูดก่อน จากนั้นจำเลยจึงตอบหรือกล่าวแก้คดี แล้วจึงถึงคณะผู้พิพากษา
(หรือคณะลูกขุน) ซึ่งเป็นผู้แทนประชาชนจำนวน 500 คน
พิจารณาตัดสิน ซึ่งในการพิจารณาผลการตัดสินนั้น
1.ถ้าคะแนนเท่ากันให้ปล่อยผู้ต้องหาถือว่าพ้นผิด
2.ถ้าโจทก์ได้คะแนนน้อยกว่า 1 ใน 5 ให้ปรับโจทก์
3.ถ้าจำเลยแพ้ โจทก์ต้องเสนอให้ศาลลงโทษ แล้วจำเลยขอให้ศาลลดโทษลงเป็นอื่น
จากนั้นลูกขุนหรือคณะพิพากษาจึงลงคะแนนอีกครั้งว่าจำเลยควรรับโทษสถานไร
ช่วงต้น
ของการกล่าวแก้คดีนั้น โสกราตีสพยายามบอกให้ศาลทราบซึ่งหมายถึงมหาชนได้รับรู้ว่าตนเองนั้นต่างจากพวกโซฟิสต์
(Sophist) และกลุ่มคนที่กล่าวหาตนซึ่งโสกราตีสรับรู้อยู่เสมอว่ามีหลายคนที่ไม่พอใจในตน
โดยยอมรับว่าไม่ได้สู้เฉพาะคดีในศาล แต่กำลังต่อสู้กับอคติของคนที่มีมานาน
เพราะคนส่วนหนึ่งเกลียดชังจึงสร้างกระแสและกุคำเท็จที่พยายามบอกว่าโสกราตีสเป็นคนไม่ดี
โสกราตีสบอกกับคณะลูกขุนว่าโจทย์ที่ฟ้องร้องโสกราตีสแบบนี้มีมากนักและได้กล่าวหาโสกราตีสเสมอซึ่งมีมามานมนานแล้ว
แต่สิ่งที่พวกนี้กระทำและถือว่าเลวร้ายที่สุดคือคนพวกนี้ได้กล่าวว่าร้ายโสกราตีส ให้เข้าหูพวกคณะลูกขุนในตอนยังเป็นเด็กหรือเพิ่งจะเริ่มเป็นหนุ่มซึ่งยังขาดการวิเคราะห์ไตร่ตรองซึ่งแค่นี้
ก็ถือว่าพวกที่ต้องการเอาผิดโสกราตีสก็ชนะคดีเสียแต่ตอนนั้นแล้ว เนื่องจากในขณะนั้นไม่มีใครไปแก้คดีโสกราตีสเลยซึ่งโสกราตีสเองก็ทำได้เพียงแต่แก้คดี
ต่อต้านฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งไม่รู้ว่าใคร เหตุเพราะไม่มีใครกล้าออกมาตอบคำพูดของโสกราตีสโดยตรง
จึงได้ขอให้คณะลูกขุนยอมรับรองว่าผู้ที่มาฟ้องร้องกล่าวหาโสกราตีสนั้นมีสองกลุ่ม
คือ คนที่เป็นโจทก์นำความมาฟ้องศาลโดยตรงคือเมเลตัสกับพวกที่กล่าวหาโสกราตีสมาแต่ต้น
ซึ่งก็คือคนอื่นๆ ทั่วไป
ในศาลโสการตีสโดยยอมรับว่าตนเองเป็นศิลปะวาที
แต่คนละแบบกับพวกพวกโซฟิสต์ (Sophist) และกลุ่มคนที่กล่าวหาตนเนื่องจากคนพวกนี้มักพูดคำที่เป็นเท็จเสียส่วนใหญ่
ส่วนคำพูดที่ท่านจะได้ฟังจากโสกราตีสนั้น ล้วนเป็นความจริงซึ่งโสการตีสเชื่อว่าตนเองล้วนกล่าวแต่คำจริง
และขอให้ศาลอนุญาตให้โสการตีสพูดตามวิธีของเขาเองจะดีหรือเลวอย่างไรก็ช่างซึ่งการกระทำของโสกราตีสเป็นคุณสมบัติของผู้พิพากษา
ดุจเดียวกับที่สัจจะคือคุณสมบัติของศิลปะวาที
การคาดการณ์ของโสกราตีส
โสกราตีสก็พอคาดการณ์ได้อยู่เองเช่นกันว่าการขึ้นศาลครั้งนี้ตนเองจะมีชะตากรรมอย่างไรซึ่งโสกราตีสเองกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าต้องการแก้ความคิดผิดๆ ก็เพราะจะให้บังเกิดประโยชน์ทั้งแก่ท่านและแก่ข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าก็หวังที่จะชนะความ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าออกจะยากมากอยู่
เป็นอันปล่อยให้เทพเจ้าชี้ชะตากรรมก็แล้วกัน ข้าพเจ้าได้แต่ทำตามกฎหมาย
กล่าวแก้คดี
ข้อกล่าวหาที่1เมเลตัสตั้งไว้
โสกราตีสได้อ่านในศาลว่า “โสกราตีส ผิดอาญาแผ่นดิน
ฐานค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับสิ่งใต้พิภพและบนนภากาศ ทั้งยังเอาเหตุผลอ่อนๆ
ชนะเหตุผลที่ดีกว่า มิหนำซ้ำยังเป็นตัวอย่างให้คนอื่นประพฤติตาม”
ข้อนี้ตัวของโสกราตีสได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
และยังเปรียบเปรยให้เห็นว่าการสั่งสอนของตนนั้นแตกต่างกับพวกโซฟิสต์ โดยกล่าวว่า
“คำให้ร้ายป้ายสีเหล่านั้นล้วนแต่ปราศจากความจริง
และถ้าท่านได้ยินคนพูดว่าข้าพเจ้าหากินด้วยการสั่งสอนคน ก็ขอให้รู้ไว้เถิดว่าไม่จริง
ทั้งๆ ที่ การเป็นครูเป็นของดี ถ้ารู้วิธีสอน เช่น กอกิอัส
แห่งลิออนตีนีและโปรดิกัสแห่งเดออัส และฮิปปิอัสแห่งเอลีส บุคคลเหล่านี้ แต่ละคน
ไม่ว่าจะไปสู่เมืองใด ย่อมสามารถชักชวนชายหนุ่มให้มาเรียนกับตน ให้จ่ายทรัพย์ให้ตน
และยังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณตนอีกด้วย ทั้งๆ
ที่ชายหนุ่มเหล่านั้นจะมีมิตรสหายอยู่อย่างไรก็ตาม
ก็ย่อมละมาหาอาจารย์เหล่านี้ทั้งสิ้น”
โสรกราตีสแก้ข้อกล่าวหา
โสกราตีสยอมรับว่าตนฉลาด และฉลาดเพราะมีปัญญาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่ก็อ้างว่า
แคเรฟอน ซึ่งเพื่อนสนิทได้ไปถามอโปลโล เทพพยากรณ์ ในเดลฟี ผ่านคนทรงสตรี
ว่ามีใครฉลาดกว่าตน ซึ่งคนทรงสตรีก็กล่าวตอบมาว่าไม่มีใครฉลาดเท่า
ทั้งนี้พยานคนสำคัญก็คือแคเรฟอน ซึ่งเป็นน้องชายของโสกราตีสแต่เสียชีวิตไปแล้ว
โสกราตีสกล่าวในศาลต่อไปว่า
ตนเองก็ยังสงสัยในคำทำนายดังกล่าวจึงคิดพิสูจน์คำทำนายดู ด้วยการสนทนากับคนที่คิดว่าเขานั้นฉลาดผู้หนึ่ง
โดยโสกราตีสกล่าวว่า “จากการสนทนา ก็ทราบได้ว่าคนอื่นๆ ส่วนมากย่อมเห็นว่าเขาฉลาด
ยิ่งตัวเขาเองด้วย แล้วย่อมเห็นว่าตนฉลาดอย่างยิ่ง แต่เขาหาใช่คนฉลาดไม่ ดังนั้นโสกราตีสจึงแสดงให้เขาทราบว่าที่เขานึกว่าเขาฉลาดนั้น
ความจริงเขาหาได้ฉลาดไม่ ผลก็คือข้าพเจ้าถูกเขาเกลียด คนอื่นๆ
ที่อยู่ด้วยก็พลอยเกลียดข้าพเจ้า ฉะนั้นขณะที่ข้าพเจ้าลุกออกไป ข้าพเจ้าคิดในใจว่า
เราฉลาดกว่าเจ้าหมอนั่นเพราะเราต่างคนก็ไม่รู้อะไรจริงเกี่ยวกับความงามความดี
แต่เขาคนนั้นนึกว่าตนเองรู้ในขณะที่ไม่รู้ ส่วนเราไม่รู้อะไร
และเรารู้ว่าเราไม่รู้” นอกจากนี้โสกราตีสก็ไปหาคนอื่นๆ อีก ได้แก่
คนฉลาดอีกหลายคน กวีอีกหลายคน และพบว่ากวีนั้นประพันธ์เรื่องราวต่างๆ
ตามอารมณ์หรือความรู้สึกเหมือนกับคนทรงและนักพยากรณ์ ต่อมาคือพวกช่าง ซึ่งโสกราตีสมองว่ารู้อะไรหลายเรื่องที่ตนไม่รู้แต่ในที่สุดโสกราตีสมองว่าการที่พวกศิลปินและกวีต่างมองว่ารู้ทุกเรื่องสำคัญ
เลยทำให้ทั้งศิลปินและกวีนั้นกลายเป็นคนไม่ฉลาดไป และจากการไปทดสอบคำพยากรณ์หรือสมมติฐานดังกล่าวกับผู้คนมากมาย
โสกราตีสยอมรับว่าตนเองมีคนเกลียดตนเองจำนวนมาก แต่ก็มีผู้ชื่นชมอยู่บ้างและยกให้เป็นปราชญ์
ซึ่งสอดคล้องกับคำพยากรณ์ ดังที่โสกราตีสกล่าวไว้เองว่า “ผู้ฉลาดสุดในหมู่มนุษย์ทั้งหลายนั้น
ก็คือคนอย่างโสกราตีส ผู้รู้ตัวว่าในทางปัญญาแล้ว ตนเองไม่รู้อะไรเลย”
เหตุผลหลักที่ทำให้โสกราตีสถูกเกลียด
เพราะมีคนหนุ่มหรือคนรุ่นใหม่ชอบฟังการสอนผ่านการสนทนากับคนอื่นๆ
จึงถูกกล่าวหาว่าตนนั้นปลุกระดมเด็กหนุ่มเหล่านี้
ซึ่งเป็นเหตุที่จุดชนวนให้เมเลตัส ซึ่งเป็นกวี อนิตัส ซึ่งนักการเมืองและนักธุรกิจและลีคอนซึ่งเป็นนักพูดยื่นฟ้องเขาต่อศาลกรุงเอเธนส์ซึ่ง
ข้อกล่าวหาที่2ของเมเลตัส
เมเลตัสกล่าวโทษไว้ว่า “โสกราตีสมีความผิดฐานทำให้คนหนุ่มเสื่อมเสีย
และเชื่อเทพอันตนเนรมิตขึ้นเอง โดยไม่นับถือเทพเจ้าอันรัฐรับรอง”
แบบฝึกหัดท้ายเรื่องอโปโลเกียตอนที่
1
1.ผู้ที่เป็นโจทย์ฟ้องโสกราตีสในศาลกรุงเอเธนส์ได้แก่
1.1เมเลตัสมีอาชีพเป็น...........................................................................................................................................
1.2อนิตัสมีอาชีพเป็น..............................................................................................................................................
1.3 ลีคอนมีอาชีพเป็น..............................................................................................................................
เนื่องจากทั้ง 3 คนเห็นว่าวิธีการสอนของโสกราตีสทำให้เด็กหนุ่มมีความคิดเพิ่มมากขึ้นและมีผลกระทบต่ออาชีพที่ตนทำอยู่
1.1เมเลตัสมีอาชีพเป็น...........................................................................................................................................
1.2อนิตัสมีอาชีพเป็น..............................................................................................................................................
1.3 ลีคอนมีอาชีพเป็น..............................................................................................................................
เนื่องจากทั้ง 3 คนเห็นว่าวิธีการสอนของโสกราตีสทำให้เด็กหนุ่มมีความคิดเพิ่มมากขึ้นและมีผลกระทบต่ออาชีพที่ตนทำอยู่
2.ข้อกล่าวหาที่เมเลตัสนำขึ้นฟ้องต่อศาลกรุงเอเธนส์มี 2
ข้อคือ
1............................................................................................................................................................
2..........................................................................................................................................................
3.โสกราตีสกล้ายอมรับในศาลกรุงเอเธนส์ว่าตนเองฉลาดที่สุด
ตามคำพยากรณ์ของอโปลโลเทพยากรณ์ในเดลฟีเนื่องจากโสกราตีสมีความรู้ว่า....................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)







