วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

อโปโลเกีย (APOLOGIA)ตอนที่ 3

คำถามที่โสกราตีสใช้ถามเมเลตัสเพื่อแก้คดีในศาล
1. มีใครไหม เมเลตัส ที่เชื่อว่ามีของเกี่ยวกับมนุษย์แต่ไม่มีมนุษย์
2 มีใครไหมที่ไม่เชื่อว่ามีม้า แต่เชื่อว่ามีของเกี่ยวกับม้า
3. หรือไม่เชื่อว่ามีปี่ แต่มีคนเป่าปี่
4 มีใครที่เชื่อเทวานุภาพ แต่ไม่เชื่อว่าเทพมี
ซึ่งคำถาม4ข้อนี้ทำให้เมเลตัสเผลอยอมรับในศาลว่าโสกราตีสเชื่อเทวานุภาพ และก็สอนคนอื่นในเรื่องนี้ และความเชื่อของโสกราตีสข้อนี้ได้รับการยืนยันในคำฟ้องอันท่านสาบาลต่อศาลแล้วว่าโสกราตีสเชื่อในเทวานุภาพ ซึ่งก็ย่อมเชื่อว่าเทพมีเช่นกัน
หลังที่โสกราตีสกล่าวแก้คดีจบ คณะลูกขุนก็มีการออกเสียงพิจารณาคดี   ซึ่งผลก็ปรากฏตามที่คะแนนเสียงมีความก้ำกึ่งกันมากดังคำที่โสกราตีส กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเสียใจที่ท่านออกเสียงลงคะแนนว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ผิดในเรื่องนี้ ข้าพเจ้ามีเหตุผลหลายประการ เพราะใช่ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้คาดมาล่วงหน้า แท้ที่จริงข้าพเจ้าออกจะแปลกใจเสียซ้ำที่คะแนนเกือบจะก้ำกึ่งทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าไม่นึกว่าคะแนนจะใกล้เคียงกันถึงเพียงนี้ นึกว่าฝ่ายโจทก์จะได้คะแนนมากมายนัก แต่นี่ถ้าอีกสามสิบเสียงมาทางนี้ ข้าพเจ้าก็จะชนะความ ลำพังเมเลตัสคนเดียวแล้ว ทุกคนเห็นได้ชัดว่าข้าพเจ้าย่อมชนะแน่ ไม่แต่จะชนะ หากยังจะปรับเมเลตัสได้อีกพันเหรียญ เพราะโจทย์จะไมได้คะแนนถึง 1 ใน 5
การพิพากษาของศาลคือโสกราตีสมีความผิดแต่ศาลจะไม่ลงโทษแต่เมเลตัสคัดค้านศาลจึงตัดสินให้ประหารชีวิตโสกราตีสเมื่อมีการพิพากษาลงโทษแล้ว โสกราตีสก็พร้อมยอมรับคำตัดสินประหารชีวิตตนเอง แต่ก็กล่าวไว้อย่างคมคายถึงวิธีคิดตัดสินใจของผู้ลงมติให้ประหารชีวิตไว้ว่า ตัวโสกราตีสไม่ได้ถูกลงโทษเพราะแก้คดีอย่างปราศจากเหตุผล หากแก้คดีอย่างมีความกล้า อย่างมีความละอายใจ อย่างไม่พร้อมที่จะพูดถ้อยคำชนิดที่ทำให้ท่านชอบใจ ไม่ร่ำร้องวิงวอนเกี่ยวกับฐานะแห่งตน หรือพูดจาและทำท่าทาง อันไม่อยู่ในวิสัย อันข้าพเจ้าจะทำได้ แต่ข้าพเจ้าก็รู้ว่าพวกท่านเคยชินกับการกระทำเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นเป็นการถูก ที่จะประพฤติตนดังหนึ่งมิใช่คน อันเกิดมาเป็นไทแก่ตน และข้าพเจ้าก็ไม่ยอมแสดงความเสียใจต่อวิธีการ อันข้าพเจ้าแก้คดีมานั้น ข้าพเจ้าพอใจตาย หลังจากที่ได้แก้คดีด้วยวิธีการของข้าพเจ้านั้น ยิ่งกว่าจะมีชีวิตอยู่ด้วยกระทำการต่างๆ อันเป็นที่พอใจของท่าน
ช่วงท้ายของการกล่าวแก้คดีความ โสกราตีสจะกล่าวอ้างว่าตนเองไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปรโลกหรือชีวิตหลังความตายมากมายนัก แต่ก็กล่าวไว้ในช่วงนี้อย่างน่าสนใจว่า “ความตายดีอย่างไร ความตายต้องเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสองสิ่งนี้คือ (1) ถ้าไม่เป็นสภาวะอันปราศจากความนึกคิดเลย ก็ต้อง (2) เป็นการแปรสภาพของจิตจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ถ้าปราศจากความนึกคิดเลย ก็เหมือนกับการนอนหลับชนิดที่ผู้หลับไม่ฝันอะไรเลย ข้าพเจ้าเห็นว่าความตายในสภาวะนี้ดีวิเศษแน่ ข้าพเจ้าเชื่อว่าใครก็ตามเมื่อยามนอนหลับสนิทจนไม่ฝัน เมื่อเทียบกับวันคืนอื่นๆ ตลอดทั้งชีวิต คืนนั้นคืนเดียวก็จะมีความสุขยิ่งกว่าเป็นไหนๆ...ถ้าความตายเป็นสภาวะเช่นนี้ ข้าพเจ้าย่อมถือว่าความตายเป็นผลได้ของชีวิต เพราะเวลาอื่นๆ จะสำคัญเท่าคืนเดียวนั้นก็หาไม่ ท่านตุลาการ หากความตายเป็นการแปรสภาพไปสู่อีกโลกหนึ่งดังที่เขาพูดกันว่าความตายไปรวมอยู่ที่นั่น ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ก็ย่อมนับว่าเป็นมหันตคุณ เพราะการไปสู่เรือนแห่งมัจจุราช มนุษย์ย่อมจะได้พบตุลาการที่แท้จริง ยิ่งกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าตุลาการ เพราะอย่างน้อย ก็เชื่อกันว่าตุลาการในปรโลกตัดสินด้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น