วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

อโปโลเกีย (APOLOGIA) ตอนที่ 1

อโปโลเกีย (APOLOGIA)
บทสนทนาเรื่องอโปโลเกีย (APOLOGIA) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันเดียวกับเรื่องยูไทโฟร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โสกราตีสได้ขึ้นศาลกรุงเอเธนส์ ทั้งนี้ในกระบวนการพิจารณาคดีที่กรุงเอเธนส์สมัยนั้น คือ คู่คดีต่างต้องกล่าวหาหรือกล่าวแก้คดีด้วยตนเอง ไม่มีทนายว่าความต่างตัว โดยโจทก์พูดก่อน จากนั้นจำเลยจึงตอบหรือกล่าวแก้คดี แล้วจึงถึงคณะผู้พิพากษา (หรือคณะลูกขุน) ซึ่งเป็นผู้แทนประชาชนจำนวน 500 คน พิจารณาตัดสิน ซึ่งในการพิจารณาผลการตัดสินนั้น
1.ถ้าคะแนนเท่ากันให้ปล่อยผู้ต้องหาถือว่าพ้นผิด
2.ถ้าโจทก์ได้คะแนนน้อยกว่า 1 ใน 5 ให้ปรับโจทก์
3.ถ้าจำเลยแพ้ โจทก์ต้องเสนอให้ศาลลงโทษ แล้วจำเลยขอให้ศาลลดโทษลงเป็นอื่น จากนั้นลูกขุนหรือคณะพิพากษาจึงลงคะแนนอีกครั้งว่าจำเลยควรรับโทษสถานไร
ช่วงต้น ของการกล่าวแก้คดีนั้น โสกราตีสพยายามบอกให้ศาลทราบซึ่งหมายถึงมหาชนได้รับรู้ว่าตนเองนั้นต่างจากพวกโซฟิสต์ (Sophist) และกลุ่มคนที่กล่าวหาตนซึ่งโสกราตีสรับรู้อยู่เสมอว่ามีหลายคนที่ไม่พอใจในตน โดยยอมรับว่าไม่ได้สู้เฉพาะคดีในศาล แต่กำลังต่อสู้กับอคติของคนที่มีมานาน เพราะคนส่วนหนึ่งเกลียดชังจึงสร้างกระแสและกุคำเท็จที่พยายามบอกว่าโสกราตีสเป็นคนไม่ดี
โสกราตีสบอกกับคณะลูกขุนว่าโจทย์ที่ฟ้องร้องโสกราตีสแบบนี้มีมากนักและได้กล่าวหาโสกราตีสเสมอซึ่งมีมามานมนานแล้ว แต่สิ่งที่พวกนี้กระทำและถือว่าเลวร้ายที่สุดคือคนพวกนี้ได้กล่าวว่าร้ายโสกราตีส ให้เข้าหูพวกคณะลูกขุนในตอนยังเป็นเด็กหรือเพิ่งจะเริ่มเป็นหนุ่มซึ่งยังขาดการวิเคราะห์ไตร่ตรองซึ่งแค่นี้ ก็ถือว่าพวกที่ต้องการเอาผิดโสกราตีสก็ชนะคดีเสียแต่ตอนนั้นแล้ว เนื่องจากในขณะนั้นไม่มีใครไปแก้คดีโสกราตีสเลยซึ่งโสกราตีสเองก็ทำได้เพียงแต่แก้คดี ต่อต้านฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งไม่รู้ว่าใคร เหตุเพราะไม่มีใครกล้าออกมาตอบคำพูดของโสกราตีสโดยตรง จึงได้ขอให้คณะลูกขุนยอมรับรองว่าผู้ที่มาฟ้องร้องกล่าวหาโสกราตีสนั้นมีสองกลุ่ม คือ คนที่เป็นโจทก์นำความมาฟ้องศาลโดยตรงคือเมเลตัสกับพวกที่กล่าวหาโสกราตีสมาแต่ต้น ซึ่งก็คือคนอื่นๆ ทั่วไป
ในศาลโสการตีสโดยยอมรับว่าตนเองเป็นศิลปะวาที แต่คนละแบบกับพวกพวกโซฟิสต์ (Sophist) และกลุ่มคนที่กล่าวหาตนเนื่องจากคนพวกนี้มักพูดคำที่เป็นเท็จเสียส่วนใหญ่ ส่วนคำพูดที่ท่านจะได้ฟังจากโสกราตีสนั้น ล้วนเป็นความจริงซึ่งโสการตีสเชื่อว่าตนเองล้วนกล่าวแต่คำจริง และขอให้ศาลอนุญาตให้โสการตีสพูดตามวิธีของเขาเองจะดีหรือเลวอย่างไรก็ช่างซึ่งการกระทำของโสกราตีสเป็นคุณสมบัติของผู้พิพากษา ดุจเดียวกับที่สัจจะคือคุณสมบัติของศิลปะวาที
การคาดการณ์ของโสกราตีส โสกราตีสก็พอคาดการณ์ได้อยู่เองเช่นกันว่าการขึ้นศาลครั้งนี้ตนเองจะมีชะตากรรมอย่างไรซึ่งโสกราตีสเองกล่าวว่า “ข้าพเจ้าต้องการแก้ความคิดผิดๆ ก็เพราะจะให้บังเกิดประโยชน์ทั้งแก่ท่านและแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็หวังที่จะชนะความ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าออกจะยากมากอยู่ เป็นอันปล่อยให้เทพเจ้าชี้ชะตากรรมก็แล้วกัน ข้าพเจ้าได้แต่ทำตามกฎหมาย กล่าวแก้คดี

ข้อกล่าวหาที่1เมเลตัสตั้งไว้ โสกราตีสได้อ่านในศาลว่า “โสกราตีส ผิดอาญาแผ่นดิน ฐานค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับสิ่งใต้พิภพและบนนภากาศ ทั้งยังเอาเหตุผลอ่อนๆ ชนะเหตุผลที่ดีกว่า มิหนำซ้ำยังเป็นตัวอย่างให้คนอื่นประพฤติตามข้อนี้ตัวของโสกราตีสได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และยังเปรียบเปรยให้เห็นว่าการสั่งสอนของตนนั้นแตกต่างกับพวกโซฟิสต์ โดยกล่าวว่า “คำให้ร้ายป้ายสีเหล่านั้นล้วนแต่ปราศจากความจริง และถ้าท่านได้ยินคนพูดว่าข้าพเจ้าหากินด้วยการสั่งสอนคน ก็ขอให้รู้ไว้เถิดว่าไม่จริง ทั้งๆ ที่ การเป็นครูเป็นของดี ถ้ารู้วิธีสอน เช่น กอกิอัส แห่งลิออนตีนีและโปรดิกัสแห่งเดออัส และฮิปปิอัสแห่งเอลีส บุคคลเหล่านี้ แต่ละคน ไม่ว่าจะไปสู่เมืองใด ย่อมสามารถชักชวนชายหนุ่มให้มาเรียนกับตน ให้จ่ายทรัพย์ให้ตน และยังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณตนอีกด้วย ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มเหล่านั้นจะมีมิตรสหายอยู่อย่างไรก็ตาม ก็ย่อมละมาหาอาจารย์เหล่านี้ทั้งสิ้น”
โสรกราตีสแก้ข้อกล่าวหา โสกราตีสยอมรับว่าตนฉลาด และฉลาดเพราะมีปัญญาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่ก็อ้างว่า แคเรฟอน ซึ่งเพื่อนสนิทได้ไปถามอโปลโล เทพพยากรณ์ ในเดลฟี ผ่านคนทรงสตรี ว่ามีใครฉลาดกว่าตน ซึ่งคนทรงสตรีก็กล่าวตอบมาว่าไม่มีใครฉลาดเท่า ทั้งนี้พยานคนสำคัญก็คือแคเรฟอน ซึ่งเป็นน้องชายของโสกราตีสแต่เสียชีวิตไปแล้ว
โสกราตีสกล่าวในศาลต่อไปว่า ตนเองก็ยังสงสัยในคำทำนายดังกล่าวจึงคิดพิสูจน์คำทำนายดู ด้วยการสนทนากับคนที่คิดว่าเขานั้นฉลาดผู้หนึ่ง โดยโสกราตีสกล่าวว่า “จากการสนทนา ก็ทราบได้ว่าคนอื่นๆ ส่วนมากย่อมเห็นว่าเขาฉลาด ยิ่งตัวเขาเองด้วย แล้วย่อมเห็นว่าตนฉลาดอย่างยิ่ง แต่เขาหาใช่คนฉลาดไม่ ดังนั้นโสกราตีสจึงแสดงให้เขาทราบว่าที่เขานึกว่าเขาฉลาดนั้น ความจริงเขาหาได้ฉลาดไม่ ผลก็คือข้าพเจ้าถูกเขาเกลียด คนอื่นๆ ที่อยู่ด้วยก็พลอยเกลียดข้าพเจ้า ฉะนั้นขณะที่ข้าพเจ้าลุกออกไป ข้าพเจ้าคิดในใจว่า เราฉลาดกว่าเจ้าหมอนั่นเพราะเราต่างคนก็ไม่รู้อะไรจริงเกี่ยวกับความงามความดี แต่เขาคนนั้นนึกว่าตนเองรู้ในขณะที่ไม่รู้ ส่วนเราไม่รู้อะไร และเรารู้ว่าเราไม่รู้” นอกจากนี้โสกราตีสก็ไปหาคนอื่นๆ อีก ได้แก่ คนฉลาดอีกหลายคน กวีอีกหลายคน และพบว่ากวีนั้นประพันธ์เรื่องราวต่างๆ ตามอารมณ์หรือความรู้สึกเหมือนกับคนทรงและนักพยากรณ์ ต่อมาคือพวกช่าง ซึ่งโสกราตีสมองว่ารู้อะไรหลายเรื่องที่ตนไม่รู้แต่ในที่สุดโสกราตีสมองว่าการที่พวกศิลปินและกวีต่างมองว่ารู้ทุกเรื่องสำคัญ เลยทำให้ทั้งศิลปินและกวีนั้นกลายเป็นคนไม่ฉลาดไป และจากการไปทดสอบคำพยากรณ์หรือสมมติฐานดังกล่าวกับผู้คนมากมาย โสกราตีสยอมรับว่าตนเองมีคนเกลียดตนเองจำนวนมาก แต่ก็มีผู้ชื่นชมอยู่บ้างและยกให้เป็นปราชญ์ ซึ่งสอดคล้องกับคำพยากรณ์ ดังที่โสกราตีสกล่าวไว้เองว่า “ผู้ฉลาดสุดในหมู่มนุษย์ทั้งหลายนั้น ก็คือคนอย่างโสกราตีส ผู้รู้ตัวว่าในทางปัญญาแล้ว ตนเองไม่รู้อะไรเลย
เหตุผลหลักที่ทำให้โสกราตีสถูกเกลียด เพราะมีคนหนุ่มหรือคนรุ่นใหม่ชอบฟังการสอนผ่านการสนทนากับคนอื่นๆ จึงถูกกล่าวหาว่าตนนั้นปลุกระดมเด็กหนุ่มเหล่านี้ ซึ่งเป็นเหตุที่จุดชนวนให้เมเลตัส ซึ่งเป็นกวี  อนิตัส ซึ่งนักการเมืองและนักธุรกิจและลีคอนซึ่งเป็นนักพูดยื่นฟ้องเขาต่อศาลกรุงเอเธนส์ซึ่ง

ข้อกล่าวหาที่2ของเมเลตัส เมเลตัสกล่าวโทษไว้ว่า “โสกราตีสมีความผิดฐานทำให้คนหนุ่มเสื่อมเสีย และเชื่อเทพอันตนเนรมิตขึ้นเอง โดยไม่นับถือเทพเจ้าอันรัฐรับรอง” 



แบบฝึกหัดท้ายเรื่องอโปโลเกียตอนที่ 1
1.ผู้ที่เป็นโจทย์ฟ้องโสกราตีสในศาลกรุงเอเธนส์ได้แก่ 
1.1เมเลตัสมีอาชีพเป็น...........................................................................................................................................
1.2อนิตัสมีอาชีพเป็น..............................................................................................................................................
1.3 ลีคอนมีอาชีพเป็น..............................................................................................................................
 เนื่องจากทั้ง 3 คนเห็นว่าวิธีการสอนของโสกราตีสทำให้เด็กหนุ่มมีความคิดเพิ่มมากขึ้นและมีผลกระทบต่ออาชีพที่ตนทำอยู่
2.ข้อกล่าวหาที่เมเลตัสนำขึ้นฟ้องต่อศาลกรุงเอเธนส์มี  2  ข้อคือ
1............................................................................................................................................................
2..........................................................................................................................................................    
3.โสกราตีสกล้ายอมรับในศาลกรุงเอเธนส์ว่าตนเองฉลาดที่สุด ตามคำพยากรณ์ของอโปลโลเทพยากรณ์ในเดลฟีเนื่องจากโสกราตีสมีความรู้ว่า....................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น